Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงและไม่มีการใช้คนกลางดำเนินการ ทำให้การทำธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในรูปแบบออนไลน์เป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลหรือ Cryptocurrency ซึ่งเป็นการโอนเงินแบบออนไลน์ที่มีความเสี่ยงสูงจากการถูกโจรกรรม การใช้ Blockchain จึงช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ รายละเอียดมีอะไรบ้าง ตามไปดูพร้อมๆ กัน
บล็อกเชน (Blockchain) คืออะไร?
บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลและการทำธุรกรรมที่มีความปลอดภัย มีคุณสมบัติสำคัญคือไม่สามารถแก้ไขหรือลบข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในบล็อกเชนได้ ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้น
บล็อกเชนมีลักษณะเป็นโครงสร้างของบล็อก (Block) ที่เก็บข้อมูลและเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ (Chain) โดยการทำงานของบล็อกเชนจะใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสแบบคริปโทกราฟี (Cryptography) เพื่อให้มั่นคงปลอดภัย และใช้ระบบการตรวจสอบแบบกระจาย (Decentralized) ซึ่งหมายถึงการทำงานโดยไม่ต้องมีผู้ควบคุมหรือองค์กรกลาง แต่จะมีผู้ใช้ที่เป็นเครือข่ายเดียวกันซึ่งมีสิทธิ์ในการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลกัน
ด้วยความปลอดภัยและความโปร่งใสที่สูง บล็อกเชนจึงเป็นที่นิยมใช้ในกลุ่มธุรกรรมการเงินและการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล หรือ cryptocurrency อย่าง Bitcoin นอกจากนี้ยังนำไปใช้กับหลายอุตสาหกรรม เช่น
• การเงินและการธนาคาร
• การค้าและธุรกิจออนไลน์
• การจัดการทรัพย์สินดิจิทัล
• การบริหารจัดการฟาร์มขุดเหรียญ
• การทำธุรกรรมทางการเงินและการโอนเงิน
• การจัดเก็บบันทึกข้อมูลแบบกระจาย
• การติดตามและการจัดเก็บข้อมูลทางการแพทย์
• การลงคะแนนเลือกตั้งและการเลือกตั้งออนไลน์
บล็อกเชน (Blockchain) สำคัญอย่างไรกับคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ?
บล็อกเชน เป็นส่วนสำคัญของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งเป็นเงินดิจิทัลที่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย เพราะการทำธุรกรรมและการเก็บข้อมูลจะถูกบันทึกลงใน Blockchain ที่เป็นระบบการเก็บข้อมูลแบบกระจาย (decentralized) ทำให้ไม่มีองค์กรหรือบุคคลใดเป็นเจ้าของข้อมูล และไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้หากไม่ได้รับอนุญาต
การใช้ Blockchain ในการทำธุรกรรมด้านการเงินและการซื้อขายคริปโทฯ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการทำธุรกรรม สามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมได้เพราะไม่ต้องใช้บริการของธนาคารหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม ทำให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมลดลง นอกจากนี้ Blockchain ยังช่วยให้การซื้อขายคริปโทฯ เป็นไปอย่างโปร่งใส ลดการฉ้อโกงและทุจริตในการทำธุรกรรม ลดความเสี่ยงในการปลอมแปลงข้อมูลอีกด้วย
บล็อกเชน (Blockchain) มีประโยชน์อย่างไร?
บล็อกเชน (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีที่มีลักษณะเด่นคือข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain จะไม่สามารถถูกแก้ไขหรือลบได้ จึงมีประโยชน์ในหลายด้าน ดังนี้
• การทำธุรกรรมทางการเงินและการซื้อขาย การใช้ Blockchain ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมเงินต่างประเทศ และการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิทคอยน์
• การส่งข้อมูลและการแชร์ข้อมูล การใช้ Blockchain ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งข้อมูลและการแชร์ข้อมูลที่มีความลับ โดยการใช้ Blockchain จะช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกเปิดเผยแก่บุคคลที่ไม่พึงประสงค์
• การบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบ การใช้ Blockchain ช่วยลดความเสี่ยงในการปลอมแปลงข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแพทย์ และการตรวจสอบต่างๆ เช่น การตรวจสอบสิทธิบัตรประกันสุขภาพ
• การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain สามารถใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการข้อมูลต่างๆ โดยไม่ต้องมีองค์กรกลางเข้ามาจัดการข้อมูล จึงช่วยลดความซับซ้อน และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการข้อมูล
• การเพิ่มความโปร่งใส การใช้ Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมและการจัดการข้อมูล จึงลดการฉ้อโกงและการทุจริตในการทำธุรกรรมต่างๆ และช่วยสร้างความไว้วางใจในระบบอีกด้วย
ตัวอย่าง Blockchain ที่ถูกใช้ในไทย
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้งานในด้านการเงินและการซื้อขายที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น ในปัจจุบันไทยก็มีบริษัทหลายแห่งที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเอง ดังนี้
• Bitkub เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการรักษาความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรม โดย Bitkub ได้รับการรับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเป็นผู้ให้บริการเงินดิจิทัลที่ได้มาตรฐานสูงสุดในประเทศไทย
• OmiseGO เป็นบริษัทฯ ที่พัฒนาเทคโนโลยี Blockchain สำหรับการทำธุรกรรมการเงินที่มีความเร็วและปลอดภัยสูงขึ้น โดยมีการรับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเป็นผู้ให้บริการเงินดิจิทัลที่ได้มาตรฐานสูง
• Krungsri Blockchain Interledger โครงการร่วมระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยากับบริษัท SBI Ripple Asia โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ทำให้เป็นไปได้ว่าการโอนเงินระหว่างประเทศจะเร็วขึ้นและปลอดภัย
• Thai Bond Market Association (TBMA) เป็นองค์กรที่ควบคุมการซื้อขายหุ้นส่วนของตลาดหลักทรัพย์ไทย ได้เริ่มใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปลอดภัยในการทำธุรกรรม
• Ananda Development: เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามการสร้างบ้านและการขายอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ลูกค้าสามารถติดตามการก่อสร้างได้อย่างใกล้ชิดและแม่นยำขึ้น
• OCEAN Thailand: เป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานในสายงานต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ การจัดการกิจการ และการประกันคุณภาพ
• Digio: เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการยืนยันตัวตนและการเซ็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมออนไลน์
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของเทคโนโลยีนี้ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาธุรกิจในอนาคตได้อย่างก้าวกระโดด และสำหรับ Cryptocurrency แล้ว บล็อกเชนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการทำงานของ Cryptocurrency และช่วยให้การซื้อขาย Cryptocurrency เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีความประสิทธิภาพมากขึ้น
***บทความนี้ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน เป็นการทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น