การโจรกรรมทางไซเบอร์ กลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ของเราล้วนตกอยู่ในความเสี่ยง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจรูปแบบของการโจรกรรมทางไซเบอร์ พฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยง และ 5 วิธีการลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามเหล่านี้
การโจรกรรมทางไซเบอร์ คืออะไร?
การโจรกรรมทางไซเบอร์ หมายถึง การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรืออุปกรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมุ่งหวังเพื่อ ขโมย แก้ไข หรือทำลายข้อมูลรูปแบบ ของการโจรกรรมทางไซเบอร์
- ฟิชชิ่ง (Phishing) แฮกเกอร์จะส่งอีเมลหรือข้อความปลอมแปลง หลอกให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลบัตรเครดิต หรือข้อมูลธนาคาร
- มัลแวร์ (Malware) ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส แรนซัมแวร์ โดยแฮกเกอร์สามารถใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ ขโมยข้อมูล
- การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MITM) แฮกเกอร์จะแทรกตัวอยู่ระหว่างการสื่อสารของผู้ใช้และเว็บไซต์เพื่อดักจับข้อมูล
- การโจมตีทางไซเบอร์แบบ Social Engineering แฮกเกอร์จะใช้กลวิธีทางจิตวิทยาเพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือดำเนินการที่ทำให้เกิดความเสี่ยง
- การโจมตีแบบแอปพลิเคชัน (Application attacks) เน้นโจมตีและเจาะระบบแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำงานบนอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น เว็บแอปพลิเคชัน, แอปพลิเคชันมือถือ
พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ถูกโจรกรรมทางไซเบอร์
- การใช้รหัสผ่านที่ง่ายต่อการเดาหรือทางการค้นหา เช่น รหัสผ่านที่สั้นหรือใช้ข้อมูลส่วนตัวเช่น วันเกิด, ชื่อ, หรือตำแหน่งงาน
- การใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับหลายบัญชีหรือแอปพลิเคชัน ทำให้เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับโจรกรรมทางไซเบอร์ เนื่องจากหากบัญชีหนึ่งถูกโจมตีแล้ว, บัญชีอื่นๆ ที่ใช้รหัสเดียวกันอาจเสี่ยงต่อการโจมตีเช่นกัน
- การคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจทำให้เป็นเป้าหมายของการโจมตีที่ใช้เทคนิค Phishing, Malware, หรือการติดตั้งโปรแกรมมัลแวร์.
- การใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัส ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่ายนั้นถูกเปิดเผยและมีความเสี่ยงต่อการโจมตี MITM (Man-in-the-Middle)
- การไม่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ อุปกรณ์ทำให้เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับการโจมตีและการติดตั้งโปรแกรมที่อาจเป็นอันตราย
- การไม่สำรองข้อมูลสำคัญ ทำให้เกิดความเสี่ยงในกรณีที่ข้อมูลสูญหาย, ถูกทำลาย, หรือถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- การแชร์ข้อมูลส่วนตัวบนโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูลส่วนตัวอาจถูกนำไปใช้ในการโจมตีหรือการประหยัดข้อมูล
- การหลงเชื่อข้อเสนอที่ดูดีจนเกินจริง อาจเป็นการโจมตีหรือหลอกลวงในการสร้างความเชื่อมั่น
- การทำธุรกรรมออนไลน์โดยไม่ระมัดระวัง เช่น การให้ข้อมูลบัตรเครดิตหรือข้อมูลส่วนตัวในที่ที่ไม่ปลอดภัย
5 วิธีการลดความเสี่ยงจากการโจรกรรมทางไซเบอร์
1. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ
โจรกรรมทางไซเบอร์มักใช้ช่องโหว่ที่พบในซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการเพื่อทำการโจรกรรม การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้เพื่อการโจรกรรม
2. การใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง
การใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดียากที่จะเข้าถึงข้อมูล ควรเลือกรหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษรตัวใหญ่-เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ และควรปรับปรุงรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ โดยมีลักษณะดังนี้
- ยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร
- ผสมผสานตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์
- ไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัว
- ไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันกับเว็บอื่น
3. การใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication – 2FA)
มาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ช่วยปกป้องบัญชีของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์ นอกเหนือจากรหัสผ่านของคุณแล้ว 2FA จะขอข้อมูลอีกส่วนหนึ่งจากคุณ เช่น รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) ที่ส่งไปยังโทรศัพท์ของคุณ สิ่งนี้ทำให้ยากขึ้นสำหรับแฮกเกอร์ในการเข้าถึงบัญชีของคุณ แม้ว่าจะรู้รหัสผ่านของคุณก็ตาม โดยวิธีการใช้ 2FA ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- แอป OTP แอปเหล่านี้สร้างรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวที่เปลี่ยนทุกๆ 30 วินาที ตัวอย่างของแอป OTP ยอดนิยม ได้แก่ Google Authenticator และ Authy
- ข้อความ SMS รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวสามารถส่งไปยังโทรศัพท์ของคุณผ่านข้อความ SMS วิธีนี้สะดวก แต่ไม่ปลอดภัยเท่าการใช้แอป OTP
- การแจ้งเตือนแบบพุช บริการบางแห่งเสนอการแจ้งเตือนแบบพุชที่คุณต้องอนุมัติเพื่อลงชื่อเข้าใช้ วิธีนี้สะดวกและปลอดภัยกว่าข้อความ SMS
4. การใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่ปลอดภัย
การใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่ปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการโจรกรรมทางไซเบอร์ เนื่องจาก Wi-Fi ที่ไม่ปลอดภัยสามารถทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกเข้าถึงได้ง่ายๆ โดยผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งการใช้ Wi-Fi ที่ปลอดภัย เช่น
- ตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแกร่ง ประกอบไปด้วยตัวอักษรตัวใหญ่-เล็ก, ตัวเลข, และสัญลักษณ์พิเศษ หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านที่ง่ายต่อการเดา เช่น 123456 หรือ password
- เปลี่ยนชื่อและรหัสผ่านเริ่มต้นของเราเตอร์ (default credentials) ที่มีการตั้งค่ามาตรฐาน และการไม่เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้นทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงเราเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต
- การใช้ Virtual Private Network (VPN) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารทางออนไลน์ และป้องกันการดักรับข้อมูลที่ถูกส่งผ่าน Wi-Fi
- ปิดใช้งานการแบ่งปันไฟล์และเครื่องพิมพ์ในเครือข่าย Wi-Fi เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เปิดใช้งาน Firewall ในเราเตอร์เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
- ทำการอัปเดต firmware ของเราเตอร์เพื่อรับประกันว่ามีการปรับปรุงความปลอดภัยล่าสุด.
- การติดตั้ง Guest Network สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเครือข่ายหลัก
- เปิดใช้งานการแจ้งเตือนเมื่อมีการเข้าถึง Wi-Fi โดยไม่ได้รับอนุญาต
- จำกัดจำนวนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ในเครือข่าย
5. การสำรองข้อมูล (Backup)
การสำรองข้อมูล (Backup) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการโจรกรรมทางไซเบอร์ เนื่องจากสำรองข้อมูลช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลหากถูกโจมตี ขาดหาย หรือถูกทำลายได้ ควรสร้างสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอและเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพื่อที่จะสามารถกู้คืนข้อมูลได้ทันที เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก NAS หรือ Cloud Storage
ประโยชน์ของการสำรองข้อมูล
- กู้คืนข้อมูล ช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลได้หากอุปกรณ์ของคุณถูกโจมตี สูญหาย หรือเสียหาย
- ประหยัดเวลา ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูล
- ลดความเสี่ยง ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูลสำคัญ
วิธีการสำรองข้อมูล
- เลือกอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับข้อมูลของคุณ
- เลือกวิธีการสำรองข้อมูล เช่น การสำรองข้อมูลแบบเต็ม การสำรองข้อมูลแบบเพิ่มหน่วย และการสำรองข้อมูลแบบ Differential
- กำหนดตารางการสำรองข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
- ทดสอบการสำรองข้อมูลของคุณเป็นประจำเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถกู้คืนข้อมูลได้
การลดความเสี่ยงของการโจรกรรมทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินไป แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยและคงทนต่อการโจรกรรมทางไซเบอร์ได้อย่างมั่นใจ…มีปัญหาไอทีอะไรให้ช่วยไหม “ทักได้นะ”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
☎️ 02-555-0999
📲 LINE ID : @ditc หรือคลิก https://lin.ee/gztVQxB