ยังคงเป็นดินแดนทดสอบนักลงทุนที่แข็งแกร่ง สำหรับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เพราะแม้จะมียักษ์ล้มไปเมื่อปี 2022 ให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีนักลงทุนแวะเวียนกันเข้ามาในตลาดไม่ขาดสาย แล้วปัจจุบันตลาดแห่งนี้มีความเป็นไปได้ของการลงทุนอย่างไร ตามไปดูพร้อมๆ กัน
ปัจจัยที่ส่องแสงสว่างให้วงการคริปโทเคอร์เรนซี
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ดิ่ง ก็มาจากธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ดังนั้น ในครึ่งปีหลังนี้จึงฝากความหวังไปที่ ธนาคารกลางสหรัฐในการประกาศนโยบายการเงิน ในการหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือ ลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลดีต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงนี้ได้
ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ใครคือผู้ถูกเลือกให้สมหวัง?
ในปี 2022 มีการระดมทุนที่ส่งสัญญาณบวก จะเห็นว่ามีแบรนด์ระดับโลกอย่าง Starbucks และ Disney ในเหรียญ NFT ซึ่งในปี 2023 ก็คาดหวังว่าจะมีแบรนด์อื่นเข้าร่วมด้วย รวมถึงทุกครั้งที่คริปโทเคอร์เรนซีเติบโต จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี ซึ่งบริษัททางด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google Meta ก็เข้ามาลงทุนใน Web3 นั่นหมายความว่าผู้ใช้เองกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนทำให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีขนาดใหญ่ขึ้นแบบไม่รู้ตัว
ส่วนเหรียญที่มาวิน คือ เหรียญ Bitcoin เนื่องจากได้รับการเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) อนุญาตให้ธนาคารกลางแห่งชาติเก็บ Bitcoin (BTC) เป็นเงินสำรองได้ถึง 2% นี่ก็น่าจะเป็นแนวทางในการเลือกลงทุนได้ง่ายขึ้น
จากบทเรียนการล้มละลายของ FTX หรือเหรียญ LUNA สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนแบบโดมิโน ในปี 2022 จะทำให้มีการจัดการที่มีมาตรฐานมากขึ้น ทำให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) น่าเชื่อถือมากขึ้น พร้อมกันนี้เราจะได้เห็นการแยกงานนายหน้า และบริการแลกเปลี่ยน ออกจากกัน เป็นการกระจายความเสี่ยงออกจากกัน
แนวโน้มการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ในปัจจุบัน
แนวโน้มการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี ถือว่ายังคงอยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ซึ่งก็หมุนเวียนลงทุนตามปัจจัยของตลาดและการตัดสินใจของนักลงทุนที่เลือกกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ และในปี 2023 จะมีเหรียญไหนน่าสนใจบ้าง DiTC นำมาฝากค่ะ
1. Ethereum
เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจาก Bitcoin ด้วยความเฉพาะที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ สามารถตรวจสอบการทำงานได้ แม้หากเทียบความมั่นคงกับเหรียญอันดับหนึ่งอย่าง Bitcoin เหรียญ Ethereum ก็ยังได้รับการการันตี จาก เว็บไซต์ Infinite Market Cap ว่าเหรียญทั้งสองนี้จะไม่หายไปจากโลกง่าย ๆ นั่นแปลว่าแนวโน้มนี้น่าจะยาวไม่น่าจะแค่ปี 2023 แน่นอน
2. SOL
ตัวตึงจาก Solana ฉายา “Ethereum Killer” Solana ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่เติบโตแรงที่สุดในปีที่ผ่านมา ด้วยระบบการทำงานของกลไกฉันทมติ (Consensus Algorithm) ที่ไม่เหมือนใครอย่างระบบ Proof of History (PoH) ทำให้โปรเจกต์ Solana โดดเด่นทั้งในด้านความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูง และต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำ จนมีคนกล่าวว่า Solana อาจเป็นโปรเจกต์ที่จะมาแทนที่ Ethereum ได้เลยทีเดียว
จุดเด่นสำคัญของ Solana (SOL) คือเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรมและต้นทุนที่ถูก ด้วยความสามารถในการขยายตัว (Scalability) ที่รวดเร็วถึง 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที (Transactions Per Second: TPS) และค่าธรรมเนียมเพียง 0.00025 ดอลลาร์สหรัฐ/ธุรกรรม หากนำไปเทียบกับเจ้าตลาดอย่าง Ethereum (ETH) ที่มีความเร็วอยู่ที่ 13 ธุรกรรม/วินาที กับค่า Gas ที่สูงกว่ามาก จะเห็นว่าต่างกันอยู่หลายเท่า ส่วนสาเหตุสำคัญที่อยู่เบื้องหลังก็คือ การทำงานของโปรโตคอลแบบผสม ระหว่าง Proof of Stake และ Proof of History (ที่มา https://zipmex.com/th/learn/what-is-solana/)
ในปัจจุบันภาพรวมในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี Cryptocurrency ยังคงเป็นไปตามกลไกตลาดตามอุปสงค์ อุปทาน การลงทุนยังอยู่บนหลักการการประมาณความพร้อมที่จะรับผลตอบแทนทั้งระยะสั้น ระยะยาว จึงควรศึกษาโดยละเอียดในความพิเศษของสินทรัพย์นั้น ๆ มิเช่นนั้นสินทรัพย์ก็อาจจะย้ายไปอยู่ในความทรงจำได้
เพราะการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีอาจมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของราคา ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจตลาดและการลงทุนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน พร้อมทั้งควรวางแผนการลงทุนที่มีระบบเป็นมาตรฐาน
***บทความนี้ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน เป็นการทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น
สนใจบริการรับฝากวางเครื่องขุด หรือ Cryptocurrency Mining Hosting โดย บริษัท ดีไอทีซี จำกัด
ผู้ให้บริการรับฝากวางเครื่องขุดเหรียญ คลังมาตรฐาน
โทรศัพท์ : 0 2555 0999
LINE : @ditc หรือคลิก https://lin.ee/gztVQxB
Inbox FB : https://m.me/dharmnitiditc
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ditc.co.th