6 ประเภทของการลงทุน Cryptocurrency (คริปโทเคอร์เรนซี) ที่มือใหม่ควรรู้

การหาเงินจาก Cryptocurrency (คริปโทเคอร์เรนซี) มีหลายวิธี แต่ละวิธีมีความเสี่ยง ข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามการลงทุนใน Cryptocurrency ก็ยังถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนที่จะก้าวเข้ามาในสนามนี้ควรพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้กำไรอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด และในบทความนี้ ดีไอทีซี จะพาไปดูรายละเอียดกันว่า หากจะหาเงินหรือลงทุนใน Cryptocurrency นั้นสามารถทำได้กี่ประเภท และทำอย่างไรบ้าง

วิธีหาเงินจาก Cryptocurrency

การหาเงินจาก Cryptocurrency มีหลายวิธี โดยสามารถทำได้ดังนี้

1. การเทรด (Trading)

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการหากำไรจากการลงทุนใน Cryptocurrency ด้วยการซื้อขายโดยตรงหรือในตลาดของเว็บไซต์เทรดเดอร์ที่มีอยู่หลายแห่ง การเทรดถือเป็นการลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้น ตอบโจทย์สำหรับคนที่ไม่มั่นใจในตลาด Cryptocurrency ที่มีความผันผวน ทั้งนี้สำหรับนักเทรดมืออาชีพแล้ว การให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์กราฟ และเทคนิคการเทรดที่เชี่ยวชาญ ถือเป็นสิ่งสำคัญต้องใช้ในการตัดสินใจซื้อ-ขาย

2. การขุด (Mining)

เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลไก Proof of Work โดยใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ในการแข่งขันกันแก้สมการทางคณิตศาสตร์ หากสามารถแก้สมการได้ก่อนก็มีสิทธิ์เพิ่มข้อมูลที่เป็นการสร้างบล็อกใหม่ในบล็อกเชน (Blockchain) และได้รับรางวัลหรือค่าตอบแทนในรูปแบบของเหรียญ Cryptocurrency แต่วิธีการนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค เวลา และเงินลงทุนในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางต่างๆ รวมถึงสถานที่ที่เหมาะกับการจัดวางอุปกรณ์สำหรับเหมืองขุดเหรียญด้วย

3. การลงทุนระยะยาว (Hodl)

เป็นกลยุทธ์การซื้อและถือไว้ (Buy and Hold) และเรียกนักลงทุนสายนี้ว่า Hodl ย่อมาจาก Hold on for dear life ซึ่งนักลงทุนจะซื้อและถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ในระยะยาว ที่อาจนานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยนักลงทุนไม่จำเป็นต้องสนใจสภาพเศรษฐกิจ หรือการอ่านกราฟการขึ้นลงของราคา แต่สิ่งสำคัญที่ต้องโฟกัสคือเทคโนโลยีของเหรียญที่ซื้อและถือไว้นั้นมีโอกาสเติบโตมากน้อยเพียงใด มีศักยภาพในระยะยาวหรือไม่ ดังนั้นวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลามานั่งดูกราฟ เน้นซื้อและถือไว้ระยะยาวเพื่อรอเหรียญราคาขึ้น

4. การทำ Staking

เป็นการถือเหรียญของ Cryptocurrency และส่งออกไปทำงานในระบบเครือข่ายของ Cryptocurrency นั้นๆ โดยเหรียญนั้นจะมีรูปแบบการตรวจสอบธุรกรรมบนบล็อกเชนแบบ Proof of Stake (PoS) และคุณจะไม่ได้ใช้เหรียญดังกล่าว แต่จะล็อกเหรียญไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนแทน เพื่อให้เครือข่ายใช้เหรียญของคุณตรวจสอบการทำธุรกรรม และผลตอบแทนจากการ Stake จะอยู่ในรูปแบบของดอกเบี้ย ซึ่งอัตราที่จะได้รับนั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม

5. การเข้าร่วม Airdrop

เป็นการแจก Cryptocurrency ฟรีๆ ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในโครงการต่างๆ โดยเป็นเหมือนการให้รางวัลแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมการตลาดตามข้อกำหนดและเงื่อนไข ที่อาจมีจุดประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ หรือสร้างฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ หากผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับเหรียญ Cryptocurrency แล้วก็สามารถใช้เหรียญนั้นซื้อสิ่งของหรือลงทุนและการแลกเปลี่ยนได้

6. การทำ Yield Farming บนโลกของ DeFi

การทำ Yield Farming ผู้ใช้งานจะต้องฝากเงินหรือ Cryptocurrency ลงในเครือข่าย DeFi (Decentralized Finance) และเลือกโปรโตคอลที่ต้องการใช้งาน เช่น Compound, Aave, Uniswap โดยจะต้องทำการยืนยันการทำธุรกรรมผ่าน Smart Contract ที่กำหนดไว้ก่อน เมื่อทำการฝากเงินเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ใช้งานจะได้รับเหรียญโทเคนในโปรโตคอลนั้นๆ ซึ่งเรียกว่า Yield Farming Tokens ที่สามารถนำมาเทรดหรือแลกเปลี่ยนกับ Cryptocurrency อื่นๆ ได้ และยังสามารถเก็บไว้รอราคาขึ้นเพื่อขายได้ในภายหลัง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีทำเงินจาก Cryptocurrency เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วในโลกของ Cryptocurrency ยังมีทางเลือกให้ทำเงินได้อีกมาก สิ่งสำคัญคือการติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดและมองหาช่องทางใหม่ๆ แล้วคุณจะพบช่องทางการทำเงินเพิ่มขึ้น โดยทุกวิธีนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency และตลาดในการลงทุน เพื่อเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และมีผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว

 

***บทความนี้ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน เป็นการทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น